การบรรยายของ พระพรหมบัณฑิต ในพิธีฝึกซ้อมอบรมพระอุปัชฌาย์นี้ มุ่งเน้นไปที่บทบาทสำคัญของ พระอุปัชฌาย์ ในฐานะ “ผู้เฝ้าประตู” ของ สถาบันสงฆ์ ตำแหน่งนี้ถือเป็น หน้าด่าน ในการกลั่นกรองผู้เข้ามาสู่พระศาสนา โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการป้องกันมิให้ “กาเหว่า” หรือผู้ที่ไม่หวังดี แอบแฝงปลอมปน เข้ามาหาผลประโยชน์หรือบิดเบือนคำสอน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาเคยสูญไปจากอินเดีย
ท่านได้ขยายความบทบาทของพระอุปัชฌาย์ออกเป็น 2 ประเด็นหลัก:
- พระอุปัชฌาย์ดี เป็นศรีแก่พระศาสนา: หมายถึงเป็นความเจริญของพระศาสนา เพราะหากมีการคัดเลือกสมาชิกที่มี คุณภาพ จะทำให้พระศาสนามีความมั่นคง ยั่งยืน พระอุปัชฌาย์จึงต้องมีส่วนร่วมในการแก้ วิกฤตการณ์ทางศาสนา โดยการกำจัด “กาเหว่า” ซึ่งเปรียบได้กับการสังคายนาครั้งที่ 3 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่มีการคัดกรองผู้ที่บวชโดยไม่ได้ถือตามคำสอน วิภัชชวาท (การแยกแยะ) ออกจากหมู่สงฆ์
พระอุปัชฌาย์ต้องเป็นแบบที่ดีของสัทธิวิหาริก: การเป็นแบบที่ดีประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ แบบฉบับ (กฎหมายลายลักษณ์อักษร เช่น พระวินัยปิฎก และ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2505 ที่กำหนดให้ต้องมี ตราตั้ง), แบบอย่าง (การปฏิบัติให้ดู เช่น การนั่ง กระโหย่ง ตามธรรมเนียมของสยามนิกายในการขออุปสมบท) และ แบบแผน (จารีตประเพณี) ซึ่งหมายถึงธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมา (เช่น การใช้คำขออุปสมบท อุกาสะ หรือ เอสาหัง) ซึ่งมีที่มาจาก ปฐมสาวก และ ปัจฉิมสาวก ตามลำดับ . การปฏิบัติตามทั้ง 3 ส่วนอย่างเคร่งครัด ถือเป็นการปฏิบัติตามหลักที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา วชิรญาณวโรรส ทรงวางไว้ คือต้องปฏิบัติตาม กฎหมายแผ่นดิน พระวินัย และ จารีต การไม่ได้รับตราตั้งตามกฎหมายทำให้ผู้บวชอาจไม่ได้รับประโยชน์ตามสิทธิทางกฎหมายและพระอุปัชฌาย์นั้นจะมีความผิดตามกฎหมายด้วย
พระอุปัชฌาย์ คือ ผู้เฝ้าประตู สถาบันสงฆ์ ต้อง กลั่นกรอง ผู้บวชเพื่อป้องกัน กาเหว่า แฝงตัวและรักษาความยั่งยืนของพระศาสนา. อุปัชฌาย์ต้องเป็น แบบฉบับ (กฎหมาย), แบบอย่าง (การกระทำ), และ แบบแผน (จารีต) ที่ดีให้แก่สัทธิวิหาริก. การปฏิบัติที่ถูกต้องตาม พระวินัย กฎหมาย และจารีต เป็นกุญแจสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของ สมณวงศ์






