พระพรหมบัณฑิตได้แสดงปาฐกถาต้อนรับคณะเยาวชนในโครงการ “สานใจไทย สู้ใจใต้” ณ วัดประยุรวงศ์ศาวาส โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ ศาสนากับความยั่งยืนของชุมชน ผ่านตัวอย่างของ ย่านกุฎีจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ สังคมพหุวัฒนธรรม ที่ประกอบด้วย 6 ชุมชนหลักที่มีความหลากหลายทางศาสนา ทั้งชาว พุทธ คริสต์ และ อิสลาม (รวมถึงวัดประยูรฯ, โบสถ์ซานตาครูส, และมัสยิดกุฎีขาว/บางหลวง) ซึ่งมีรากฐานความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และตระกูลมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี
ท่านเน้นย้ำว่า ความสำเร็จในการอยู่ร่วมกันอย่าง สันติสุข และการ พัฒนาชุมชน ที่ยั่งยืนไม่ได้มาจากความโดดเดี่ยว แต่มาจากการที่ชุมชนเปลี่ยนจากการ “ต่างฝ่ายต่างอยู่” มาเป็นการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม (เช่น ปัญหาขยะ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กลไก “บวร” (บ้าน-วัด/ศาสนสถาน-ราชการ) เป็นสามประสานในการขับเคลื่อน
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของความสำเร็จจากการรวมพลังคือ การเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเปลี่ยน สะพานด้วน ให้กลายเป็น สวนลอยฟ้า (Sky Park) และการสร้างทางเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสำเร็จได้เพราะทุกศาสนารวมกันเป็นเสียงเดียว นอกจากนี้ วัดประยุรวงศ์ฯ ยังเปิดพื้นที่ในงานเทศกาลให้ร้านค้าจากทุกศาสนามาจำหน่ายสินค้า เพื่อ พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และส่งเสริมความสามัคคี โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของรัชกาลที่ 9 ที่เน้นการพัฒนา 4 มิติ คือ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
พระพรหมบัณฑิตได้ฝากข้อคิด 3 ประการสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างคนเจริญในสังคมพหุวัฒนธรรม คือ 1) ยอมรับความแตกต่าง 2) เคารพความแตกต่าง และ 3) ชื่นชมความแตกต่าง ซึ่งหากทุกคนเข้าถึงแก่นของศาสนาและมีหลักธรรมประจำใจ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่าง สันติ
พระพรหมบัณฑิต บรรยายถึงความสำเร็จของ ย่านกุฎีจีน ในฐานะตัวอย่างของ สังคมพหุวัฒนธรรม ที่ พุทธ คริสต์ อิสลาม สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
ความยั่งยืนนี้เกิดขึ้นจากการรวมพลังกัน พัฒนาชุมชน โดยยึดหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และกลไก “บวร” ซึ่งเป็นที่มาของโครงการสำคัญอย่าง สวนลอยฟ้า
หลักการสำคัญในการอยู่ร่วมกันคือการ ยอมรับ เคารพ และชื่นชม ในความแตกต่างหลากหลายทางศาสนาและวิถีชีวิต






