พระธรรมเทศนาเรื่อง “อธิปไตยกถา” โดย พระพรหมบัณฑิต (เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส) เนื่องในเทศกาลทอดกฐินและลอยกระทง เนื้อหาหลักกล่าวถึง “แรงจูงใจ” (Motivation) ในการทำความดีและการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมมนุษย์ ท่านได้จำแนกแรงจูงใจออกเป็น 3 ประเภทตามหลัก อธิปไตย 3 ในทางพุทธศาสนา ได้แก่:
- อัตตาธิปไตย (ถือตนเป็นใหญ่): ทำดีเพราะเห็นแก่ประโยชน์ตน เช่น ความสุขส่วนตัว หรือเพื่อความอยู่รอด
- โลกาธิปไตย (ถือโลกเป็นใหญ่): ทำดีเพราะกระแสสังคม ต้องการคำชมเชย หรือกลัวคำติฉินนินทา
- ธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่): ทำดีเพื่อความดี เห็นแก่ความถูกต้อง หน้าที่ และประโยชน์ส่วนรวม
ท่านเจ้าคุณเน้นย้ำว่า ธรรมาธิปไตย คือแรงจูงใจที่ยั่งยืนที่สุด โดยยกตัวอย่างความสำเร็จของการจัดงาน Bangkok River Festival ที่วัดประยุรฯ ร่วมกับภาคีเครือข่าย 6 ชุมชน (พุทธ คริสต์ อิสลาม) ซึ่งประสบความสำเร็จได้เพราะยึดหลัก Win-Win Situation (ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์) และการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตนหรือกลุ่มก้อน ซึ่งจะนำไปสู่ความสามัคคีและสันติสุขที่แท้จริง
สรุปตอนท้ายสั้นๆ:
แรงจูงใจในการทำความดีมี 3 ระดับ แต่ “ธรรมาธิปไตย” คือแรงขับเคลื่อนที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์ที่สุด
ความสำเร็จขององค์กรและงานส่วนรวมเกิดจากการยึดหลัก “Win-Win” ที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน
การทำหน้าที่เพื่อหน้าที่และความถูกต้อง คือหัวใจของการสร้างสังคมสันติสุขตามหลักพุทธศาสนา






