การบรรยายเรื่อง “ศาสนาและความยั่งยืนของชุมชน” โดย พระพรหมบัณฑิต (เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส) เป็นการกล่าวต้อนรับคณะผู้เยี่ยมชมในฐานะ “หน้าด่าน” หรือแผนกต้อนรับ (Reception) ของ “ย่านกะดีจีน” ซึ่งเป็นโมเดลชุมชนพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ประกอบด้วย 6 ชุมชน 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ (พุทธ คริสต์ อิสลาม)
เนื้อหาสำคัญเน้นการถอดบทเรียนความสำเร็จในการพัฒนาชุมชนเมืองให้ยั่งยืน โดยน้อมนำหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) มาปรับใช้ผ่าน 4 มิติ คือ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ท่านเจ้าคุณได้เล่าถึงประวัติศาสตร์การอยู่ร่วมกันอย่างสันติตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี และการเปลี่ยนจาก “ต่างคนต่างอยู่” มาเป็นการ “จับมือกัน” เพื่อแก้ปัญหาขยะ ยาเสพติด และพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ตัวอย่างความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ได้แก่:
- การบูรณะพระบรมธาตุมหาเจดีย์ จนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับ 1 จาก UNESCO (Award of Excellence) ซึ่งปัจจัยสำคัญคือการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม
- การฟื้นฟูทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา และการเปลี่ยน “สะพานด้วน” ที่ถูกทิ้งร้างมา 30 ปี ให้กลายเป็น “สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา” (Chao Phraya Sky Park) แลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ
- การจัดงานเทศกาลร่วมกัน เช่น Bangkok River Festival และงานสมโภชวัด ที่เปิดโอกาสให้ทุกศาสนามาขายของและแสดงวัฒนธรรม สร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้คนในท้องถิ่น
สรุปตอนท้ายสั้นๆ:
ความยั่งยืนของชุมชนเกิดจากความสามัคคีข้ามศาสนา เปลี่ยนความแตกต่างให้เป็นพลังสร้างสรรค์ตามโมเดล “ย่านกะดีจีน”
รางวัล UNESCO และสวนลอยฟ้าเจ้าพระยา คือประจักษ์พยานความสำเร็จที่เกิดจากการร่วมมือกันของ “บวร” (บ้าน-วัด-ราชการ)
ไม่มีใครยิ่งใหญ่พอที่จะทำการใหญ่สำเร็จได้ตามลำพัง และไม่มีใครเล็กเกินไปจนช่วยทำการใหญ่ไม่ได้






